ตั้งกองทุนเคลื่อนเศรษฐกิจโต 5% จี้หยุดด้อยค่าประเทศไทย
ศึกเลือกตั้งครั้งนี้บรรดาพรรคการเมืองยังโชว์นโยบายอย่างต่อเนื่อง ทุกเวทีที่เปิดโอกาส เช่นเดียวกับ พรรครวมไทยสร้างชาติ โดย ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาติ และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 4 บอกว่า การเข้าสู่สนามการเมืองเพราะเป็นลูกติดพันที่ถ้าทำต่อก็จะได้เห็นผลสำเร็จที่รัฐบาลชุดนี้ได้เริ่มไว้ หากประเทศเสียโฟกัส เสียการขับเคลื่อนที่ทำเอาไว้ ก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าหรือรถอีวี และถ้าประเทศชาติยังอยู่บนความขัดแย้ง เชื่อได้เลยว่า นักลงทุนยกเลิกหมด และไม่สามารถเรียกลับมาได้อีก
นอกจากนี้ยังพบว่าบรรดาพรรคการเมืองต่างนำข้อมูลมาห้ำหั่นกันโดยไม่มีความเป็นจริงเป็นหลัก สร้างความสับสนให้กับประชาชน ต่างคนต่างด้อยค่าประเทศไม่มีความภาคภูมิใจ ไม่มีความเป็นเอกภาพในประเทศ ทั้งที่ต่างชาติต่างยกย่องประเทศไทยซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าเสียใจ แต่ก็อยากทำงานบริหารประเทศต่อเพราะอยากให้สิ่งที่ทำอยู่มีความต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายสร้างรายได้เข้าประเทศให้ได้ 4 ล้านล้านบาทต่อปี หรือเศรษฐกิจของประเทศต้องโตขึ้นปีละ 5%
“เรื่องรายได้ 4 ล้านล้านบาท ไม่ใช่ความฝัน เพราะขณะนี้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยแล้วทั้งการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 3.6 แสนล้านบาท, สมาร์ตอิเล็กทรอนิกส์ 7 แสนล้านบาท อุตสาหกรรมดิจิทัลอีก 3 แสนล้านบาท ขณะที่ต่างชาติที่เข้าไทยผ่านการขอวีซ่าพำนักระยะยาว หรือแอลทีอาร์ ยังต้องรอให้ครบ 5 แสนคน ก็จะมีการใช้เงินในไทย 6 แสนล้านบาท เพียงแค่ซาอุดีอาระเบียชาติเดียวที่จะเข้ามาลงทุนผลิตพลังงานไฮโดรเจนในไทย 6 แสนล้านบาท ก็ได้เซ็นสัญญาแล้ว ดังนั้น เลิกด้อยค่าประเทศไทย เพราะไทยเจ๋งมาก ไม่ได้แย่แบบที่คิด และต่างชาติพูดถึงไทยในอาเซียนว่าตอนนี้สดใสที่สุด”คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
อย่างไรก็ตาม หากได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก จะดำเนินการภายใต้ 16 นโยบาย ที่พรรคได้เปิดไปก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งการเร่งแก้หนี้ครัวเรือนโดยเร็วเพราะการบริโภคนิยมถือเป็นตัวก่อหนี้ที่ชัดเจน ต้องกลับมาทบทวนโดยพรรคได้เสนอเศรษฐกิจบีซีจีที่จะช่วยเปลี่ยนประเทศให้แข็งแรงและช่วยเพิ่มรายได้ให้ถึง 30-40% ทันที รวมทั้งยังมีบัตรสวัสดิการ พลัส ที่ช่วยคนกลุ่มเปราะบาง ที่เพิ่มเงินให้เดือนละ 1,000 บาท รวม 12,000 บาทต่อปี และยังเป็นบัตรที่เป็นหลักประกันเมื่อเดือดร้อนฉุกเฉินสามารถกู้ยืมเงินจากธนาคารของรัฐได้ถึง 10,000 บาท
ที่สำคัญจะมีการจัดตั้งกองทุนรวม 2 แสนล้านบาท เพื่อเดินหน้าเศรษฐกิจ โดยขายหน่วยลงทุนให้ประชาชน มีผลตอบแทนและสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เหมือนกองทุนรวมระยะยาว หรือแอลทีเอฟ แยกเป็นกองทุนเสริมสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี 1 แสนล้านบาท โดยให้ผู้ประกอบการนำบิลมาแลกเพื่อนำเงินสดไปใช้ก่อน คิดค่าธรรมเนียมถูกกว่าธนาคาร, กองทุนปรับโครงสร้างเอสเอ็มอี 50,000 ล้านบาท ให้ทำงานร่วมกับธนาคารของรัฐในการปล่อยสินเชื่อ, กองทุนบีซีจี 30,000 ล้านบาท และกองทุนธุรกิจสร้างสรรค์และสตาร์ทอัพ 10,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันยังจะใช้งบประมาณเพื่อเพิ่มเงินในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่เดิมมีอยู่ 10,000 ล้านบาท จะขอเพิ่มเป็น 300,000 ล้านบาท เพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมที่ประเทศต้องการ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมชิพ-เซมิคอนดักเตอร์ หลังการลงทุนไปแล้วจะได้กลับมาไม่ต่ำกว่า 15 เท่า โดยการผลิตของแต่ละบริษัทใช้เงินลงทุนเฉลี่ย 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หากกองทุนลงครึ่งหนึ่งหรือ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็ต้องใช้เงิน 70,000 ล้านบาทแล้ว จึงต้องตั้งกองทุนไว้ 300,000 ล้านบาท เพราะไม่ได้มองไว้เพียงรายเดียว ที่จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตชิพ ที่จะป้อนธุรกิจสมาร์ตอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศ.คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง